
หลายคนอาจจะกำลังประสบกับปัญหาเรื่องของสิวที่เมื่อหายไปแล้วแต่ยังคงทิ้งร่องรอยให้ช้ำใจ หนึ่งในนั้นคือ “รอยสิว” พาให้ไม่มั่นใจบนใบหน้า แต่ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปเพราะมีวิธีดูแลรักษาที่เหมาะสมกับทุกคนมาบอกต่อ ทำได้ไม่ยากเลย
รอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นได้ยังไง
อธิบายให้ได้เข้าใจก่อนเลยว่าลักษณะของสิวนั้นมีขึ้นได้หลากหลาย เช่น สิวเครียด สิวผด สิวอุดตัน ซึ่งคุณอาจสงสัยว่ารอยนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? จริง ๆ แล้วเกิดจากผิวหนังของเราอักเสบจึงมีร่องรอยต่าง ๆ และส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบที่เมื่อหายไปแล้วก็จะทิ้งรอยเอาไว้นั่นเอง
ถ้าเป็นสิวอุดตันประเภทหัวอักเสบ หรือสิวหนองจะสังเกตเห็นเม็ดตุ่มนูนแดงขนาดต่างกันไป บ่อยครั้งเห็นเป็นหัวหนองสีขาว หากอักเสบรุนแรงก็จะถูกเรียกสิวหัวช้าง กระทั่งเกิดอาการเรื้อรังไปจนถึงผิวชั้นในหลังจากสิวหายก็เกิดหลุมและต้องรักษารอยแผลเป็นจากสิว
ขณะที่ใครมีผิวคล้ำบริเวณที่เกิดสิวอักเสบมักไปสร้างเม็ดสีผิวภายในชั้นผิวหนังจึงเกิดเป็นรอยดำ รอยคล้ำที่สังเกตเห็นได้หลังจากสิวหายไปแล้ว สิ่งนี้ถูกเรียกว่า “จุดด่างดำ” และหากไม่มีการรักษาร่องรอยดังกล่าวก็จะอยู่ไปอีกเป็นเดือนเลยทีเดียว
ลักษณะของรอยสิวเป็นแบบไหนบ้าง
1. รอยดำ
หรือ Post – Inflammatory Hyperpigmentation ที่มาจากสิวที่ผิวหนังอักเสบ หรือระคายเคือง ที่ไปกระตุ้นเมลาโนไซต์ ที่ทำหน้าที่คอยผลิตเมลานิน ที่ทำให้เมลานินมีมากกว่าปกติ เกิดรอยดำขึ้นที่ผิวหนัง มีทั้งสีดำ สีน้ำตาล หรือเป็นสีเทาได้ด้วย เกิดการอักเสบจากผิวหนังแท้ ค่อนข้างใช้เวลานานในการรักษากว่าจะหายได้ รอยที่ว่านี้นอกจากสิวอักเสบ หรือการอักเสบของผิวหนัง ก็ยังมาจากการใช้เลเซอร์ หรือแสงบางชนิดบำบัดด้วย
2. รอยแดง
หรือ Post – Inflammatory Erythema เป็นรอยที่เกิดขึ้นจากการอักเสบ จากกลไกของสิวที่เกิดขึ้น เป็นได้ทั้งรอยสีแดง ชมพู หรือม่วง โดยที่เป็นส่วนของไขมันที่ได้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป รูขุมขนเกิดการอุดตัน และกลายเป็นเกิดสิว น้ำมันที่รูขุมขนอุดตัน เซลล์ผิวที่ตายแล้วก็ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อผิวหนังอักเสบก็กลายเป็นสิวอักเสบได้ และด้วยความที่สิวอักเสบร่างกายก็จะต้องมีการฟื้นฟูที่ลำเลียงเลือดไปหาบริเวณที่เกิดสิวอักเสบ ทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เมื่อสิวอักเสบมีช่วงหลอดเลือดขยายตัวอยู่ใต้ผิวหนัง ก็ทำให้เป็นผิวหนังสีชมพู แดง ม่วง หรือรอยแดงขึ้นมา หากรอยสิว รักษาไม่ถูกวิธีรอยแดงก็กลายเป็นรอยแดงแบบถาวรได้
3. รอยหลุมสิว
หรือ Atrophic Scars คือรอยแผลที่เกิดจากสิวที่มาจากสิวอักเสบ เกิดกระบวนการรักษาแผลที่ต้องการกลับมาให้มีความเรียบเนียนได้อีกครั้ง โดยร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนมาใหม่เป็นการสมานแผล แต่ส่วนใหญ่ก็จะขรุขระ ไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังตอนแรก เพราะผิวหนังได้รับการบาดเจ็บแบบลึกลงไป เนื้อเยื่อ คอลลาเจนสร้างมาไม่เพียงพอ และกลายเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด ซึ่งรอยหลุมสิวนั้นแบ่งได้ 4 ประเภท คือ Rolling Scars, Ice – pick Scars, Boxcar Scars, Keloid Scars
วิธีรักษารอยสิว ทำตามนี้ได้เลย
เชื่อว่าหลาย ๆ คนเกิดความอยากรู้ถึงรอยสิว แก้ยังไงกันอย่างแน่นอน และไม่พลาดที่จะรวบรวมมาบอกต่อโดยมีให้เลือกนำไปปรับใช้กัน 12 วิธีด้วยกัน แต่จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลยดีกว่า
1. ใช้เลเซอร์รักษา
อย่างแรกที่จะแนะนำ ซึ่งถือเป็นวิธีที่รวดเร็ว เห็นผลได้จริงเลยกับการรักษาด้วยเลเซอร์ ที่สามารถช่วยรักษาได้ทั้ง รอยแดง รอยดำ หรือรอยหลุมสิว ที่จะไปช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังได้ โดยที่แสงเลเซอร์จะทำการรักษารอยสิวที่อยู่ชั้นบน และชั้นกลาง ทำการกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้น มีความแข็งแรงมากขึ้น ทดแทนรอยแผลเดิม มีความปลอดภัยสูง ไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แต่ก็ต้องทำหลายครั้งและมีราคาสูง
ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้หลังการรักษาจะเกิดรอยแดง และอาการระคายเคืองได้ แต่รอยแดงก็จะค่อย ๆ หายไปเอง ขณะที่ใช้เลเซอร์รักษาจำเป็นต้องสวมแว่นตาเพื่อป้องกันแสงด้วย นอกจากรักษารอยต่าง ๆ ก็ยังช่วยไม่ให้สิวอุดตัน สิวอักเสบมีอาการรุนแรงขึ้นมาได้
2. ใช้ยาทาภายนอกรักษา
ต่อมาก็คือการเลือกยาที่ใช้ทารักษาอาการภายนอก แต่ควรมีสารที่สำคัญช่วย ไม่ว่าจะเป็น
- Retinoids ที่สามารถยับยั้งการเกิดเม็ดสีในเซลล์ผิว ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ที่ช่วยลดเลือนรอยดำได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ด้วย
- Arbutin : เป็นสารธรรมชาติที่มาจากต้นแบร์เบอร์รี่ ข้าวสาลี บลูเบอร์รี่ และแพร ที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของสาร Hydroquinone สาร Arbutin ที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำที่เกิดขึ้นจากอาการอักเสบของผิวหนังได้อย่างดี ไม่ทำให้สิวอักเสบได้ง่าย
- Topical Vitamin C : สามารถลดเลือนรอยแดง หรืออาการแดงอันเป็นผลมาจากรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ (UVB) รอยแดงที่เกิดจากสิว
- Niacinamide : หรืออีกชื่อว่าวิตามิน B3 ที่ช่วยรักษาและลดรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดรอยแดงจากสิว
- Kojic acid : เป็นสารที่มาจากเห็ด ลดรอยดำให้จางลงได้ดี ทำให้ผิวสม่ำเสมอมากขึ้น
- Nicotinamide : มีส่วนช่วยให้ผิวกระจ่างใสสวยงามมากขึ้น ช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นของผิวหนังได้ดี
- Thiamidol : มีส่วนช่วยให้ผิวที่หยาบกร้านดูเรียบเนียน ช่วยลดรอยดำได้ดี
3. การฉีดสเตียรอยด์
เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับสิวที่เป็นรอยแผลที่เนื้อนูนแข็ง ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าที่แผลเป็น ช่วยให้คีลอยด์ยุบตัวลง เป็นวิธีรักษาที่ปลอดภัย และไม่เจ็บ แต่ก็มีผลข้างเคียงตรงที่แผลแดงได้
4. Micro needling
เป็นเทคนิคใหม่ที่แพทย์จะมีการใช้เข็มเล็ก ๆ ทิ่มซ้ำ ๆ ไปที่รอยสิว กระตุ้นร่างกายให้สร้างอีลาสติน หรือสร้างคอลลาเจนที่มีใต้ผิวหนัง เพื่อสมานบาดแผล แนะนำให้ใช้รักษาสมานแผลจากสิวอักเสบ และแผลเป็น
5. Dermabrasion
โดยที่แพทย์จะใช้เครื่องมือที่เอาไปกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไป ทำให้ผิวผลิตเซลล์ผิวใหม่มาทดแทนของเดิม โดยที่ผิวหนังมีสภาพเรียบเนียนมากขึ้น ใกล้เคียงกับผิวที่เป็นอยู่บริเวณนั้นมากขึ้น
6. Cryotherapy
เป็นวิธีการรักษาบำบัดด้วยความเย็น ที่นอกจากรอยสิวก็ยังสามารถใช้รักษา ที่นอกจากรอยก็ยังช่วยเรื่องสิวผดด้วย โดยที่จะมีลักษณะของคาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิต่ำมาก และใช้รักษาเวลาสั้น ๆ ทำให้เซลล์ผิวตายแล้วเกิดเซลล์ผิวใหม่ทดแทน
7. การฉีดฟิลเลอร์
ที่ทำให้หลุมสิวตื้นมากขึ้น มีการเติมเต็มหลุมสิวด้วย Hyaluronic Acid แต่ในการฉีดวิธีนี้ต้องตัดเอาผังผืดออกด้วย เมื่อเลาะออกแล้วก็จะเป็นช่องว่าง แพทย์ก็จะฉีดฟิลเลอร์ลงไปแทนก็ทำให้ตื้นขึ้นมาได้ง่าย ๆ
8. ใช้กรดลอกผิว
ที่จะใช้ 3 เคมีช่วยกระตุ้น ทั้ง Glycolic Acid, Trichlooacetic Acid และ Salicy Acid ที่กระตุ้นผิวหนังชั้นนอกให้หลุดออก โดยที่ทั้ง 3 ชนิดมีคุณสมบัติละลายได้ดีเมื่อทาสัมผัสผิว ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่สกัดมาจากผลไม้ และช่วยสลายโปรตีนผิวหนังได้ดี
9. การผ่าตัด
แพทย์จะผ่าตัดเอาแผลออกไปแล้วเย็บผิวให้ติดกัน เป็นวิธีที่ช่วยรักษารอยหลุมสิวที่จัดอยู่ในหมวด Ice – pick scars และ Boxcar scar ได้ดี
10. ทาครีมกันแดดทุกครั้ง
เพราะครีมกันแดดมีส่วนช่วยป้องกันรังสี UVB ที่กระตุ้นให้เกิดรอยดำ รอยแดงมากขึ้น ซึ่งหากใครรักษาสิวด้วยเลเซอร์ก็ควรต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งด้วย เพราะแสงเลเซอร์ทำให้ผิวบางและโดนทำร้ายได้ง่ายมากขึ้นด้วยแสงแดด
11. ใช้ครีมบำรุงที่มีคอร์ติโซนเป็นส่วนผสม
เหมาะกับผู้ที่ประสบปัญหารอยแดง หรือบวม ที่ส่วนผสมนี้จะช่วยลดอาการอักเสบของผิว ทำให้รอยแดงจางลง แนะนำปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับขั้นตอนการใช้งานก่อนด้วย
12. ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
เป็นการรักษาสิวและรอยสิวได้โดยตรงและได้ผลมากที่สุด เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะรู้สาเหตุการเกิด และเลือกวิธีการรักษาที่ตรงจุด เห็นผลจริง และเร่งผิวให้ฟื้นฟูได้ดีมากขึ้น
วิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดรอยสิว
สำหรับวิธีการป้องกันรอยสิวนั้นจริง ๆ ก็สามารถทำได้ โดยมีแนะนำเช่นเคย โดยที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ตามต้องการ
- ไม่บีบหรือกดสิว หรือการกระทำแบบนี้จะยิ่งทำให้การอักเสบลุกลามมากขึ้น ทำให้เกิดรอยได้ง่าย ๆ
- ไม่ใช้วิตามินอี เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นภาวะผื่นแพ้สัมผัส ทำให้เกิดปัญหาในส่วนกระบวนการฟื้นฟูผิวได้
- ไม่พอกหน้า หรือไม่ใช้ครีมบำรุงที่รอยนั้น เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองได้ ทำให้รอยสิวปรากฏขึ้นมาได้อย่างชัดเจนไปอีก
- รักษาไมโครไบโอมให้สมดุลกับผิวมากที่สุด โดยไมโครไบโอมนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างเชื้อรา แบคทีเรีย ที่มีทั้งดีและก่อให้เกิดสิวได้ เมื่อชนิดดีลดลงหรือชนิดไม่ดีมีมากกว่าโอกาสที่จะเกิดปัญหาสิว และปัญหาผิวรอยสิวต่าง ๆ ตามมาได้ จึงควรทำให้ไมโครไบโอมแข็งแรงมากที่สุด ด้วยการเพิ่มพรีไบโอติก ที่ถือเป็นอาหารสำคัญ เมื่อแข็งแรง มีเพิ่มสมดุลกับผิวก็ทำให้ผิวแข็งแรงได้ ลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาผิวได้ดี ก่อนหน้านี้มักหาได้จากผัก ผลไม้ แต่ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมนี้แล้วก็ใช้เพื่อช่วยเพิ่มความสมดุลได้โดยตรงเลย
- หลีกเลี่ยงผิวไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะการที่รอยที่เกิดจากสิวต่าง ๆ ไปถูกแสงแดดก็จะทำให้เกิดสีผิวที่เข้มมากขึ้น สังเกตได้อย่างชัดเจน แถมไปทำให้การฟื้นฟูผิวบริเวณนั้นช้าลงด้วย หากต้องออกไปเจอแสงแดดจริง ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านี้ได้เลย หรือจะเลือกสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ช่วยป้องกันแสงแดดได้อย่าง หมวก แว่นตา เสื้อคลุม
- อดทนให้มากที่สุดหลังสิวหาย กว่าที่เส้นเลือด ที่คอลลาเจนจะสร้างขึ้นมาใหม่รอยสิวจะเด่นมาก และรออยู่นานกว่าที่แผลเป็น รอยสิวจะจางลง หรือลบเลือนไป
- พบแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เพื่อปรึกษาอาการ รับคำแนะนำ หรือเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม