“คอลลาเจน” เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยกันดี แต่เหนือสิ่งอื่นใดอาจรู้จักแค่ผิวเผินว่าช่วยในเรื่องของการบำรุงผิว แต่ความจริงคือประโยชน์ของคอลลาเจนยังมีอีกเยอะมากที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ลองศึกษาข้อมูลเหล่านี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานมากขึ้น เพิ่มผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวไม่ใช่เรื่องยาก
ตอบข้อสงสัย คอลลาเจน คืออะไร?
คอลลาเจน (Collagen) คือ ประเภทของเส้นใยโปรตีนรูปแบบหนึ่งมีหน้าที่ในการยึดติดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมักอยู่ในเส้นผม ผิวหนัง ขน ข้อต่อ หลอดเลือด กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อทุกจุด ปกติแล้วสารอาหารชนิดนี้ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองได้ ทว่าเมื่ออายุมากขึ้นเกิน 30 ปี ประสิทธิภาพจะลดลง ส่งผลให้ต้องมีการเพิ่มเติมเข้าไป
ส่วนมากหากเป็นกลุ่มอาหารมักอยู่ในเนื้อสัตว์ทุกประเภททั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู ปลา เนื้อวัว นม ผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงพืชหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะทำการย่อยสลายออกแล้วสร้างกลับคืนมาใหม่เป็นเส้นใยโปรตีน หรือคอลลาเจนเพื่อเข้าไปดูแลอวัยวะต่าง ๆ นั่นเอง
ประโยชน์ของคอลลาเจนที่หลายคนคุ้นเคยดีต้องยกให้กับการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ กระดูกอ่อน ข้อต่อ อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูผิวเพื่อให้เกิดความกระชับ เต่งตึง มีน้ำมีนวล แลดูอ่อนกว่าวัยได้อีกด้วย
ชนิดของคอลลาเจน
เมื่อรู้กันไปแล้วว่าประโยชน์ของคอลลาเจน คืออะไรกันบ้าง เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องก็ควรรู้จักกับชนิดของคอลลาเจนที่มีอยู่ด้วยเช่นกัน เวลาทานอาหารหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงใด ๆ ก็ตามจะได้เลือกอย่างเหมาะสมต่อร่างกายตนเอง
1. คอลลาเจนประเภทที่ 1 (type I)
ถือว่าเป็นประเภทของคอลลาเจนที่พบได้มากสุดในร่างกาย เฉลี่ยแล้วสูงถึง 90% เหนียว แข็งแรงมาก ประโยชน์ของคอลลาเจนประเภทนี้จะมีส่วนช่วยสร้างกระดูก บำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน น่าสัมผัส สร้างผนังหลอดเลือด เส้นเอ็น และเอ็นยึดกล้ามเนื้อให้แข็งแรง บำรุงกระจกดวงตาและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เพิ่มความยืดหยุ่น และลดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อทุกส่วน หากมีแผลเกิดขึ้นจะช่วยสมานด้วยความรวดเร็ว
2. คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II)
ประเภทต่อมามักพบได้บ่อยมากในกระดูกอ่อนไม่ว่าจะเป็นบริเวณหลอดลม จมูก หู กระดูกซี่โครง ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจะทำให้เกิดการสังเคราะห์เซลล์เพื่อลดโอกาสการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณข้อต่อ อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญกับกระดูกสันหลังซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องรองรับน้ำหนักและสร้างความแข็งแรงของข้อต่อเพื่อให้การเคลื่อนไหวมีคุณภาพ นอกจาก type II บริเวณกระดูกอ่อนยังมีสารอีกหลายชนิด ดังนั้นการมีคอลลาเจนชนิดนี้ย่อมช่วยลดการเกิดปัญหาข้อเสื่อม ข้ออักเสบได้
3. คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III)
พบเจอได้บริเวณผิวพรรณ ผนังหลือดเลือด เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และกล้ามเนื้อ (ร่วมกับประเภท 1) ประมาณ 10%
4. คอลลาเจนประเภทที่ 4 (type IV)
ถือเป็นประเภทของคอลลาเจนที่มีความเฉพาะตัวสูงมาก ส่วนใหญ่พบเจอได้บริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งห่อหุ้มกล้ามเนื้อไว้ ชั้นเยื่อบุผิว (Epithelium-Secreted Layer) นั่นคือ เบซัล ลามินา (Basal Lamina) รวมถึงไขมันในร่างกาย ประโยชน์ของคอลลาเจนประเภทนี้มีส่วนช่วยการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือด
5. คอลลาเจนประเภทที่ 5 (type V)
คอลลาเจนประเภทสุดท้ายถูกจัดให้เป็นองค์ประกอบของเยื่อบุเซลล์ชนิดต่าง ๆ พบเจอได้ที่บริเวณเส้นผมและผิวของเซลล์
ประโยชน์ของคอลลาเจนที่คุณอาจไม่เคยรู้
เพื่อสร้างความกระจ่างชัดจึงขอนำเอาประโยชน์ของคอลลาเจนมาใหทุกคนได้ทำความเข้าใจ นับจากนี้ไปการดูแลตนเองจากภายในสู่ภายนอกเพื่อสุขภาพที่ดีจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ผิวหนัง มากไปกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงความเรียบเนียน สว่าง กระจ่างใส ผิวแลดูอิ่มน้ำ
- ลดปัญหาริ้วรอยและความหยาบกร้าน ใบหน้าเด็กลงกว่าเดิมจนใครก็ต้องทัก
- ช่วยบำรุงเล็บไม่ให้เกิดการเปราะแตก หรือหักง่าย
- ลดความเสี่ยงและช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูกภายในร่างกาย หากทานคู่กับสารอาหารอย่างแคลเซียมและวิตามิน ดี
- ดีต่อสุขภาพของผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อ เช่น ลดอาการเจ็บปวดบริเวณข้อต่อ ข้อเสื่อม เป็นต้น
อัตรากดเสื่อมของคอลลาเจนในร่างกาย
อัตรากดเสื่อมหรืออัตราการลดลงของคอลลาเจนในร่างกายจะเกิดขึ้นเมื่อคนเรามีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหากไม่มีการเพิ่มเติมสารอาหารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น หน้าแก่ก่อนวัย หย่อนคล้อยตามไปตามอายุ รวมถึงกระดูกและข้อก็เสื่อมสภาพด้วย
อายุระหว่าง 30-39 ปี
เป็นวัยที่คอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลง สังเกตเห็นรอยย่นบาง ๆ บริเวณหน้าผาก มีร่องเล็กตรงใต้ขอบตาล่างกับหางตา ยิ่งเวลายิ้มจะเห็นรอยย่นระหว่างคิ้วชัดมาก ยิ่งใครทำหน้าเครียดบ่อยริ้วรอยบริเวณดังกล่าวก็สังเกตเห็นเต็ม ๆ บริเวณร่องแก้มตั้งแต่จมูกถึงตรงเหนือริมฝีปากมีริ้วรอยเล็ก ๆ รูขุมขนขยายใหญ่ชัดขึ้น บางคนอาจมีกระ ไฝ รอยสิว บนใบหน้า
อายุระหว่าง 40-49 ปี
ช่วงหว่างคิ้ว หน้าผาก ใต้ขอบตาล่าง และตรงหางตาจะสังเกตรอยย่นชัดเจน มีรอยร่องแก้มลึกตั้งแต่บริเวณข้างแก้มไปจนถึงริมมุมปาก ผิวเกิดฝ้าลึก รูขุมขนแห้งและใหญ่ มีติ่งเนื้อสีน้ำตาลเกิดเป็นตุ่มเล็กกระจายทั่วไป ซึ่งมักเรียกว่า “วัยตกกระ”
อายุ 50-64 ปี
ผิวพรรณจะใกล้เคียงกับคนวัย 40+ แต่สังเกตเห็นรอยย่นตรงแก้มจนมุมปากและฝ้าชัดเจน ติ่งเนื้อใหญ่ขึ้น สาเหตุมาจากคอลลาเจนในร่างกายเสื่อมสภาพลงเยอะมาก
อายุ 65 ปีขึ้นไป
ริ้วรอยเหี่ยวย่นเห็นชัดเจนมากในทุกสัดส่วนบนใบหน้า ผิวหยาบกร้าน อันถือเป็นเรื่องปกติ หากมีการบำรุงผิวทั้งภายในและภายนอกสุขภาพก็ดูดีอ่อนกว่าวัยได้