ประเภทผิวของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นการรู้จักผิวของตนเองให้ดีจะช่วยเพิ่มวิธีดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง ลดโอกาสเกิดริ้วรอย ปัญหารอยสิว หน้าหมองคล้ำ ความเหี่ยวย่นต่าง ๆ ก่อนวัยอันควร คำถามคือ ผิวมีกี่ประเภท? แล้วผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ดูยังไง มีคำตอบมาบอกให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจกันแล้ว
ประเภทผิวแห้ง
ผิวแห้ง คือ ลักษณะของผิวที่มีความแห้งมากกว่าปกติซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นและน้ำมันคอยหล่อเลี้ยง เมื่อกรดไขมันจำเป็นน้อยจึงเกิดความแห้งกร้าน แตกลอกเป็นขุย เนื่องจากปกติแล้วกรดชนิดนี้จะทำหน้าที่สร้างเกราะเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวได้รับผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก อย่างไรก็ตามคนที่มีประเภทผิวแห้งก็ยังต้องทำความเข้าใจถึงระดับความแห้งของตนเองเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน อาจใช้ความรู้สึกหรือการสังเกตเป็นหลัก รวมถึงลักษณะเฉพาะความแห้งที่บ่อยครั้งอาจไม่สามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่า
จากสถิติส่วนใหญ่พบว่าคนที่มีปัญหาผิวแห้งมักเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ มากไปกว่านั้นเมื่ออายุมากขึ้นแนวโน้มที่ผิวจะแห้งเพิ่มขึ้นก็สูงตามไปด้วย ซึ่งถ้าจะประเมินสาเหตุที่ทำให้ตนเองมีผิวแห้งก็มาจากหลายปัจจัย ดังนี้
- การสูญเสียน้ำและเหงื่อจากสภาพอากาศร้อน กิจกรรมที่ทำ หรือความเครียดของร่างกาย
- สภาพอากาศเย็นจัดส่งผลให้ผิวแห้งได้ง่าย แตกลอกเป็นขุย
- ร่างกายต้องสัมผัสกับแสงแดดสะสมเป็นเวลานานจนทำให้เกิดการสูญเสียระดับน้ำในชั้นผิวออกไป
- การอยู่ในพื้นที่ระดับความชื้นต่ำ เช่น การอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ ส่งผลให้สภาพผิวแห้งได้
- ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำบริเวณช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว (TEWL: Trans-epidermal water loss) ซึ่งปกติแล้วน้ำจากผิวชั้นลึกจะมีการกระจายไปสู่ผิวชั้นบนเฉลี่ยวันละ 500 มล.
- ระดับไขมันในชั้นผิวหนัง เช่น กรดไขมัน เซราไมด์ คอเลสเตอรอล อยู่ในระดับไม่สมดุลกัน
- ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิว (NMFs: Natural moisturising factors) ไม่ว่าจะเป็นกรดอะมินโน ยูเรีย กรดแลคติก ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำน้อยกว่าปกติ
อย่างที่บอกไปว่าคนมีปัญหาผิวแห้งยังสามารถแบ่งความรุนแรงออกได้ตั้งแต่ระดับผิวแห้งเล็กน้อยไปจนถึงผิวแห้งมากถึงขั้นแตกลอกเป็นขุย ซึ่งปกติการจำแนกประเภทผิวแห้งทำได้ดังนี้
- ระดับผิวแห้งกลุ่มขาดความชุ่มชื้น หากเติมเซรั่ม ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยยับยั้งปัญหาได้
- ผิวแห้งแตก ลอกเป็นขุย อาจพบในบางจุดของร่างกาย เช่น ฝ่าเท้า ข้อศอก หัวเข่า มือ เท้า วิธีสังเกตคือ มีรอยแตกชัดเจน ผิวด้านหนาและหยาบกร้านกว่าปกติ ลอกออกเป็นขุย มักรู้สึกคัน
ประเภทผิวมัน
ผิวมัน คือ ลักษณะของผิวพรรณที่มีความมันวาว หรือรู้สึกเยิ้มมากกว่าปกติ อันเกิดจากต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังของร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินพอดี ทั้งนี้สามารถพบเจอได้จากหลายสัดส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก จุด T-Zone จมูก คาง ทั่วใบหน้า สิ่งที่บ่งบอกว่าตนเองเป็นคนผิวมันสังเกตง่ายมากเพราะส่วนใหญ่เมื่อเหงื่อเริ่มออกจะรู้สึกเหนียวตัว มีความมันเยิ้ม เมื่อต้องแต่งหน้าแล้วเครื่องสำอางมักติดยาก หลุดลอกง่ายระหว่างวัน
มากไปกว่านั้นคนที่จัดอยู่ในประเภทผิวมันมักมีปัญหาเรื่องของรูขุมขนกว้างตามมาด้วยอันเนื่องจากร่างกายต้องการระบายน้ำมันให้ออกจากผิว ข้อเสียจึงมักทำให้เกิดสิวได้ง่ายกว่าคนผิวประเภทอื่นโดยเฉพาะปัญหาสิวอุดตันอันเกิดจากรูขุมขนถูกอุดตันจากไขมันที่ผลิตออกมาบวกกับกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกภายนอกนั่นเอง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีปัญหาผิวมันก็เป็นได้ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกซึ่งใครที่กำลังเผชิญผิวลักษณะนี้อยู่ลองเช็กลิสต์กันเลย
- กรรมพันธุ์ หรือหลักพันธุศาสตร์ มีพื้นฐานครอบครัว พ่อแม่ คนอื่น ๆ ในบ้านมีลักษณะผิวมันอยู่แล้ว เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
- ระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย บางคนอาจมีปัญหาความมันจากฮอร์โมนไม่สมดุลกัน (ฮอร์โมนเพศชายมากกว่าเพศหญิง เป็นได้ทั้ง 2 เพศ) มักเกิดช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน
- การใช้ยาบางประเภทที่มีผลทำให้ร่างกายต้องขับไขมันออกมาเป็นจำนวนมาก
- สภาพอากาศร้อนจัด สิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวมีการขับไขมัน
- การทานของมัน ของทอดเป็นประจำ ทานอาหารที่มีน้ำมันหรือไขมันสูงจัดบ่อย ๆ
- ความเครียด หรือสภาพอารมณ์แปรปรวนก็มีส่วนสำคัญทำให้ไขมันถูกผลิตออกมาได้เช่นกัน
- การใช้เครื่องสำอางไม่ได้คุณภาพ หรือไม่เช็ดล้างให้สะอาดด้วยคลีนเซอร์ ไมเซล่า จนเกิดการอุดตัน นอกจากผิวมันแล้วยังเป็นสิวง่ายด้วย
- ล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะคิดว่ามีความมันอยู่ จะยิ่งทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาเพื่อรักษาความสมดุลของผิว
ส่วนวิธีสังเกตตนเองว่าตนเองมีปัญหาผิวมันหรือไม่เมื่อลองส่องกระจกแล้วมองเห็นขนาดรูขุมขนกว้างจนสังเกตชัด ลักษณะผิวมีความมันเงา แวววาว ผิวหนากว่าคนทั่วไป มองไม่ค่อยเห็นเส้นเลือดด้านใน ซึ่งอย่างที่กล่าวไปว่าคนมีผิวมันมักเสี่ยงต่อการเกิดสิวมากกว่าคนประเภทผิวแบบอื่นและสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณใบหน้า ลำคอ แผ่นหลัง ตั้งแต่สิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวหัวดำ ไปจนถึงสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง จึงต้องคอยหมั่นดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ประเภทผิวผสม
ผิวผสม คือ ลักษณะของผิวที่มีการผสมกัน 2 รูปแบบ อาจเป็นได้ทั้งผิวธรรมดาผสมผิวแห้ง ผิวธรรมดาผสมผิวมัน ผิวแห้งผสมผิวมัน ซึ่งการสังเกตว่าตนเองมีประเภทผิวแบบนี้หรือไม่ทำได้โดย
- มักมีความมันแค่บริเวณ T-Zone บนใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก จมูก และคาง
- บริเวณแก้ม 2 ข้าง มักมีผิวแห้งหรือผิวธรรมดา
- รูขุมขนในส่วนที่ผิวมันจะกว้างกว่าปกตจนเกิดการอุดตันและทำให้เป็นสิวง่าย
ขณะที่สาเหตุของการมีผิวผสมมักเกิดจากบริเวณ T-Zone บนใบหน้ามีความมันมากกว่าปกติผลิตน้ำมันออกมาเยอะเนื่องจากต่อมไขมันที่มีขนาดใหญ่จึงทำงานเยอะกว่าบริเวณอื่นส่งผลให้เกิดสิวประเภทต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น สิวเสี้ยน สิวอักเสบ สิวหนอง ขณะที่บริเวณแก้มจะรู้สึกแห้งจากการขาดความมัน หรือบางคนสมดุลการผลิตไขมันบนใบหน้าผิดปกติจึงรู้สึกแห้งกร้าน แตกลอกออกเป็นขุย จับแล้วสากมือจนสังเกตถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
วิธีสำคัญในการดูแลตนเองสำหรับคนผิวผสมแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบริเวณ เช่น ส่วน T-Zone ควรเลือกครีมบำรุงที่ปราศจากน้ำมัน ขณะที่บริเวณแก้มเลือกใช้เซรั่มประเภทช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ทั้ง 2 ส่วนมีความสมดุลกันมากที่สุด
ประเภทผิวธรรมดา
ผิวธรรมดา คือ ลักษณะของผิวที่ไม่มีความมันหรือความแห้งมากจนเกินไป หรืออธิบายง่าย ๆ คือ มีความสมดุลกันแบบพอดี ซึ่งชื่อทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า Eudermic แม้ตรงช่วง T-Zone อย่างหน้าผาก คาง จมูก อาจมีความมันได้บ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย ทว่าเมื่อมองภาพรวมถือว่าสภาพผิวมีความสมดุล ซึ่งวิธีสังเกตง่ายมาก ดังนี้
- รูขุมขนมีขนาดเล็กทุกส่วนของใบหน้า
- ผิวเนียนนุ่ม รู้สึกถึงความชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับเหนียวเหนอะ
- ระบบการไหลเวียนโลหิตดี สีผิวสม่ำเสมอ บางคนผิวขาวก็สังเกตถึงความอมชมพู ไร้ความหมองคล้ำ
- ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสิวรบกวน
คนประเภทผิวแบบนี้นับเป็นสิ่งที่หลายคนอยากให้เกิดขึ้นกับตนเองมากที่สุด อย่างไรก็ตามส่วนมากมักมาจากพันธุกรรมเป็นหลัก ทว่าคนที่เคยมีผิวธรรมดาในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ อาจเปลี่ยนสภาพเป็นผิวแห้งได้เมื่ออายุมากขึ้น