เนื่องจากแสงแดดมีรังสี UV ที่สามารถทำลายเซลล์ผิว และก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้มากมาย ทำให้การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แล้วจะเลือกครีมกันแดดอย่างไรดีให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา ในเมื่อบนบรรจุภัณฑ์ครีมกันแดดในตลาดมักจะระบุค่า SPF และ PA ไว้ต่างกัน หลายคนจึงสงสัยว่า ค่า SPF คืออะไร? แล้วเลือกค่า SPF เท่าไหร่ดี? ถึงจะปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นค่าที่เหมาะกับผิวของเรามากที่สุด
SPF คืออะไร
ก่อนอื่นเลย VERITE จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกันว่า ค่า SPF คืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับค่า SPF ในกันแดด?
ค่า SPF นั้นย่อมาจาก Sun Protection Factor หมายถึง ค่าที่บ่งบอกว่าครีมกันแดดนี้ มีความสามารถป้องกันรังสียูวีบี (UVB) รังสีอันตรายจากแดด เพื่อให้เซลล์ผิวไม่ถูกทำลายหรือเกิดอาการไหม้ แสบร้อน
ซึ่งบนบรรจุภัณฑ์ของครีมกันแดด หลังคำว่า SPF มักจะมีตัวเลขกำกับ ซึ่งหมายถึง จำนวนเท่าที่ป้องกันรังสี UVB ได้ เช่น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หมายความว่า ครีมกันแดดที่ใช้มีความสามารถป้องกันแสงแดดผิวไหม้ได้ 30 เท่าเมื่อเทียบกับผิวปกติ โดยจะป้องกันแสง UVB ได้มากถึง 96.7% และสำหรับ SPF 50 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 98% นั่นเอง แต่ตัวเลขนี้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ตามความแข็งแรงของสภาพผิวเดิมค่ะ
*ประสิทธิภาพของการทำงาน % เป็นค่าประมาณการในประสิทธิภาพของสารกันแดด
ประโยชน์ของ SPF
ในหัวข้อนี้จะมาพูดถึงประโยชน์ของค่า SPF ที่สำคัญ ในการปกป้องผิว โดยในแสงแดดจะมีรังสีที่เป็นอันตรายต่อผิวอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
- รังสียูวีเอ (UVA) รังสีที่เข้าไปทำลายระดับเซลล์ผิวถึงชั้นผิวหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสียหาย ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับและเป็นต้นตอของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
- รังสียูวีบี (UVB) รังสีที่เข้าไปทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวชั้นบนแห้ง แดง ไหม้ ดำแดด มีฝ้า กระ จุดด่างดำขึ้นมา ทำให้หน้าหมองคล้ำ
ซึ่งการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF จะบ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องรังสี UVB ที่จะช่วยป้องกันผิว ไม่ให้ไหม้แดด หรือมีจุดด่างดำขึ้น จึงช่วยลดการเกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำได้ หลายคนอาจสงสัยว่าแล้ว UVA ล่ะ ต้องเลือกครีมกันแดดแบบไหนถึงจะป้องกันรังสี UVA ได้ดี ไปดูกันต่อเลยค่ะ
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้กันแดด SPF สูง ๆ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกันเยอะมากว่าการเลือกใช้ ค่า SPF ที่เหมาะสม จะต้องมีค่าสูง ๆ ไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ครีมกันแดด ไม่จำเป็นต้องมีค่า SPF สูงเสมอไป เพราะหากยิ่งค่าสูง ๆ ก็ยิ่งมีโอกาสระคายเคืองผิวมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งความสามารถในการปกป้องแสงแดดก็ไม่ได้ขึ้นกับค่า SPF อย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการกันเหงื่อ กันน้ำ มลภาวะ แสงต่าง ๆ ใช้ชีวิตประจำวันที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหาผิว รวมถึงการบำรุงผิวด้านอื่นๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงควรเลือกใช้กันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะกับกิจวัตรประจำวัน หากส่วนใหญ่มีไลฟ์สไตล์ที่อยู่ในที่ร่มเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ หากเป็นคนชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ต้องเจอกับแดดแรง ๆ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ให้สูงไว้ก่อนเลย เพื่อให้กันแดดช่วยปกป้องผิวได้ตลอดการระยะเวลาที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ค่า SPF กับ PA แตกต่างกันอย่างไร
สำหรับใครที่เข้าใจแล้วว่าค่า SPF คืออะไร แต่ยังมีความสงสัยว่าระหว่างค่า SPF และค่า PA ที่ติดบนฉลากครีมกันแดดว่าแตกต่างกันอย่างไร? ทุกคนมาหาคำตอบได้ ที่นี่เลยค่ะ
ค่า SPF คือ?
อย่างที่กล่าวกันไปแล้วในข้างต้นว่าค่า SPF คือ ค่าที่ระบุว่าครีมกันแดดนั้น มีความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ครีมกันแดดที่มีขายในไทย จะมีค่า SPF อยู่ตั้งแต่ 30-50 ซึ่งเป็นค่าที่เหมาะสมต่อการป้องกันผิวได้ดี และเหมาะสมกับอากาศของประเทศไทย
ค่า PA คือ?
ค่า PA หรือ Protection Grade of UVA คือ ค่าที่ระบุว่าครีมกันแดดนั้น มีความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอได้มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ครีมกันแดดทั่วไปในไทย จะมีระบุค่า PA ต่อท้ายค่า SPF เสมอ แล้วค่า PA ที่หลายคนเห็นจะมีเครื่องหมาย “บวก +” ร่วมด้วย ซึ่งเครื่องหมายนี้ หมายถึง จำนวนเท่าที่ป้องกันรังสี UVA ได้
สำหรับการเลือกใช้ครีมกันแดด ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และค่า PA ในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกันด้วย เพราะทั้งรังสียูวีเอ UVA และรังสี UVB เพราะแสงทั้ง 2 ชนิดนี้ โดยเฉพาะรังสี UVB จะทำลายผิวชั้นหนังกำพร้าถึงอาการที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ผิวไหม้ ผิวลอกและผิวหมองคล้ำ ส่วน UVA จะทำร้ายชั้นผิวที่ลึกกว่า ทำลายโครงสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เซลล์ผิวเสียหาย เกิดริ้วรอยและความเหี่ยวย่น ถ้าหนักสุด จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็ว หรือ ผิวแก่ง่าย นั่นเอง
ดังนั้นครีมกันแดดที่เลือกจึงไม่ควรมีแค่เฉพาะค่าใดค่าหนึ่งเท่านั้น เพราะจะทำให้ปกป้องอันตรายจากแสงแดดได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์ผิวบางส่วนถูกทำลาย ถึงแม้จะทาครีมกันแดดแล้วก็ตาม
วิธีเลือก SPF ของครีมกันแดดให้เหมาะสม
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย คือ การเลือกใช้กันแดดทาหน้าควรใช้ SPF เท่าไหร่ดี เพื่อให้ผิวได้รับการปกป้องเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถเลือกให้เหมาะสมกับกิจกรรมได้ดังนี้
- ค่า SPF 8 จะปกป้องรังสียูวีบีได้ 87.5% เหมาะกับการทำกิจกรรมในร่มที่ไม่ค่อยโดนแสงแดด หรือไม่โดนแสงแดดโดยตรงเลย
- ค่า SPF 15 จะปกป้องรังสียูวีบีได้ 93.3% เหมาะกับการทำกิจกรรมที่อยู่ในที่ร่ม ในอาคาร ออกแดดบ้างเล็กน้อย และเผชิญกับแสงแดดในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
- ค่า SPF 30 จะปกป้องรังสียูวีบีได้ 96.7% เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่ร้อนมาก โดนแดดโดยตรงในระยะเวลาหนึ่งได้
- ค่า SPF 45 จะปกป้องรังสียูวีบีได้ 97.8% เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่ร้อนจัด
- ค่า SPF 50 จะปกป้องรังสียูวีบีได้ 98% เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ออกแดดเป็นเวลานาน ๆ โดนแดดบ่อย และใช้ระยะเวลาในการอยู่กลางแจ้ง เป็นเวลานาน มากกว่า 4 ชม.ขึ้นไป
ควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันรังสียูวีเอ (UVA) ได้ด้วย
แสงแดดไม่ได้มีแค่รังสียูวีบี UVB แต่มีรังสียูวีเอ UVA ที่ทำลายผิวด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดด นอกจากเลือกที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมแล้ว ควรเลือกที่มีค่า PA ร่วมด้วย เพื่อการปกป้องผิวที่เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำและเหี่ยวย่นง่ายนั่นเอง
ควรต้องทาครีมกันแดดให้ถูกวิธี
- เลือกครีมกันแดดที่ยังไม่หมดอายุ เป็นอีกข้อที่สำคัญมาก รวมถึงผ่านการทดสอบกับผิวของตัวเองมาแล้วว่าไม่เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง
- ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA และค่า SPF ที่เหมาะสม ตอบโจทย์กิจวัตรประจำวัน
- ปริมาณในการทาครีมกันแดด ควรทาอย่างน้อย 2 ข้อนิ้ว ปริมาณที่เหมาะสมปกป้องผิวที่ดีที่สุด ซึ่งสัดส่วนนี้ได้รับการคำนวณมาแล้วว่าเหมาะสมกับพื้นที่ผิวบนใบหน้าและจะให้การปกป้องผิวจากแสง UV ได้อย่างเพียงพอ
*Verite Trick : ทากันแดดหน้าที่ดี ต้องค่อย ๆ ทาแล้วให้เนื้อกันแดดค่อย ๆ ซึมเข้าชั้นผิว (หรือความขาวของกันแดดค่อย ๆ จางลง) จึงค่อยลงรอบที่ 2 และหรือรอบที่ 3 จนกว่าจะหมดปริมาณที่บีบมาตาม 2 ข้อนิ้ว เพื่อให้โครงสร้างของกันแดดเซ็ตตัวบนหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและควรทิ้งไว้ ประมาณ 10-20 นาที ค่อยลงเมกอัพ จะทำให้หน้าไม่หยา เป๊ะ ปังได้ทั้งวันแล้วค่ะ
- ควรทาครีมกันแดดออกบ้าน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 30 นาที
- หากต้องอยู่กลางแดดนาน ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ เวลา 2-3 ชั่วโมง ซึ่งบอกเลยว่าทากันแดดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทาครั้งเดียวแล้วจบนะคะ ต้องทาซ้ำ ๆ ด้วย เพื่อป้องกันผิวจากแดดได้อย่างเต็มที่
ควรต้องทาครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว
แน่นอนว่าสภาพผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน นอกจากการเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมแล้ว ควรเลือกเนื้อสัมผัสของครีมที่ซึมลงผิวได้ง่าย ไม่ทิ้งความเหนอะหนะ จนทำให้เรารู้สึกไม่ชอบการทากันแดด ซึ่งวิธีเลือกมีรายละเอียดดังนี้
- คนผิวแห้ง ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อครีม มีส่วนผสมช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยควรเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น อย่าง Ceramide, Hyaluronic Acid และ Collagen เป็นต้น
- คนผิวมัน ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อเจล เพื่อให้เนื้อซึมลงผิวได้ง่าย ไม่เพิ่มความมันบนผิว โดยควรหลีกเลี่ยงน้ำมันบำรุงผิวที่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว เช่น Shea Butter, Hydrogenated Palm Kernel Oil หรือ Petroleum Jelly เป็นต้น
- คนผิวบอบบาง แพ้ง่าย ให้เลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อสัมผัสเป็นน้ำนม ที่สามารถซึมลงสู่ผิวได้เร็ว ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น โดยควรหลีกเลี่ยงสารสกัดที่ผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA และ BHA ที่จะทำให้ผิวระคายเคือง หรือผิวบางมากยิ่งขึ้น
- คนผิวผสม ควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นเนื้อ ครีม หรือเนื้อเจลก็ได้ แต่ขอให้มีเนื้อสัมผัสที่เน้นไปทางบางเบา ซึมไว และช่วยเติมน้ำให้ผิว
มาถึงตรงนี้ Verite เชื่อว่า ทุกคนจะได้ทริกและความรู้เรื่องกันแดดอย่างดี ที่นี้ปัญหาคาใจ เลือกกันแดดแบบไหนดี ก็จะหมดไป
แล้วเลือกกันแดดสักตัว จะถูกใจเราได้จริงๆมั้ย?
แน่นอน ว่า กันแดดที่ดี นอกเหนือจากคุณสมบัติแล้ว การให้ฟีลทาแล้วติดทน ไม่แสบผิว ในระหว่างวัน ไม่หนักใจกับการทากันแดด นี่แหละ คือคุณสมบัติการใช้กันแดดที่ถูกใจตัวเองอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม VERITE แนะนำ ให้ทุกคนทากันแดดไว้ทุกครั้งก่อนเลย เพราะถ้าไม่ทาแล้วล่ะก็ สิ่งที่เราบำรุงมาโดยตลอด จะจบเพราะ ไม่ทากันแดดนั่นเอง
Verite Aqua Light Sunscreen SPF 50+ PA++++
ช่วง VERITE ป้ายยา
หลายคนอาจจะเคย ได้รู้จัก หรือ เคยเห็น Verite Aqua Light Sunscreen หรือ กันแดดครีเอเตอร์ 7 UV Filters กันแดดชนิด Hybrid Sunscreen ตัวดัง เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดที่ครบ จบ ในหลอดเดียว ด้วยคุณสมบัติ ที่มีค่า SPF ที่เหมาะสม มากถึง SPF 50+ PA++++ มีส่วนช่วยป้องกันผิวจากทั้งแสง UVA และ UVB ได้ ไม่หวั่นแม้จะทำกิจกรรมในที่ร่มหรือกลางเเจ้ง
ด้วยคุณสมบัติที่คิดค้นมาเพื่อไลฟ์สไตล์ของคนไทยอย่างแท้จริง ปกป้องผิวได้อย่างเต็มที
*บล็อคแดดด้วย 7 UV Filters ไม่ให้ลงชั้นผิว ไม่ทำให้รู้สึกแสบผิว เมื่อทาตอนอยู่กลางแดดจัด
*ปกป้องผิวจาก UVA, UVB, Blue Light และ PM 2.5 สามเหตุที่จะทำให้ผิวเสีย เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยเหี่ยวย่น
*กันน้ำ กันเหงื่อ ไม่เป็นคราบ
*เนื้อบางเบา ซึมไว ทาทับเมกอัพได้
นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจาก Alteromonas Ferment Extract, Cistus Monspeliensis Extract และ Butterfly Bush Extract Aqua Light Sunscreen ที่สุดของสารสกัด ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกมลพิษทำลายให้กลับมามีผิวสวยและแข็งแรงได้อีกครั้ง
สำหรับใครที่กำลังมองหาครีมกันแดดที่ถุกต้อง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกไลฟ์สไตล์ แถมราคาย่อมเยา ต้องลอง Verite Aqua Light Sunscreen เลยค่ะ คุ้มสุดในเรื่องการป้องกัน